[postlink]https://aodnoommovieclub.blogspot.com/2010/07/appleseed-ex-machina.html[/postlink]http://www.youtube.com/watch?v=tZkag7M_i5Aendofvid
[starttext]
การกลับมาอีกครั้งในปี 2007 พร้อมได้ผู้อำนวยการสร้างจากฮ่องกงอย่าง จอห์น วู มาร่วมสร้างตำนานที่ต่อเนื่องมาถึงปี 2133 ภาคนี้ไม่ได้กล่าวถึงปมขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับไบโอรอยด์อีกแล้ว ปมเรื่องเปลี่ยนไปเน้นที่กลุ่มหน่วยรบสังหารของ ES.W.A.T. ที่ทำหน้าที่ปกป้องโอลิมปัสและทำลายผู้ก่อความวินาศ ซึ่งในภาคนี้กลับเป็นหุ่นไซบอร์กจากดาวโพไซดอน ที่ไม่ทราบแรงจูงใจในการก่อการร้ายแทน
เมื่อบริอาเรียส คู่หูที่เป็นไซบอร์กของดิวนันบาดเจ็บ เธอก็ได้ไบโอรอยด์อย่างเทอเรียส (Tereus) มาเป็นคู่หูคนใหม่โดยไม่ได้ตั้งใจ เขามีหน้าตาและนิสัยใกล้เคียงกับบริอาเรียสขณะยังมีร่างกายปกติ ซึ่งนั่นก็เพราะเทคโนโลยีในการผสมพันธุกรรมนั่นเอง แน่นอนว่า มันทำให้ดิวนันหวั่นไหวเอามากๆ จำใจต้องทำงานร่วมกับคู่หูคนใหม่ ขณะที่ฮิโตมิ ตัวละครเด่นในภาคที่แล้ว กลายเป็นเพียงตัวประกอบหนึ่งเท่านั้น เธอพาเราไปรู้จัก คอนเน็กซัส (Conexus) เทคโนโลยีการสื่อสารชนิดใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยม ซึ่งมันกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการก่อการร้ายครั้งนี้ด้วย
เกิดความสงสัยเกี่ยวกับหุ่นไซบอร์กที่ก่อการร้าย ซึ่งเป็นหุ่นที่มาจากโพไซดอน หากทางโพไซดอนปฏิเสธความเกี่ยวข้องดังกล่าว ภารกิจที่พวกเขาต้องผ่านมันไปให้ได้ ไม่ได้มีเพียง 2 คนเหมือนเดิมอีกแล้ว หากเป็นสามประสานที่มีปมทางด้านความรักเข้ามามีเอี่ยวด้วย
ดูเหมือนในภาคนี้ โอลิมปัสจะเป็นผู้นำสำคัญของโลก อะธีน่าขอความร่วมมือจากนานาชาติเข้ามาประชุมกัน เพื่อเชื่อมโยงระบบดาวเทียมระหว่างกัน และสร้างเครือข่ายการป้องกันการก่อการร้าย ขณะที่โอลิมปัสกำลังเผชิญอยู่กับผู้ก่อการร้าย ที่แทรกซึมด้วยสัญญาณที่ปล่อยมาจากข้างบน เทคโนโลยีดาวเทียมกลายเป็นอาวุธในการก่อการร้าย จินตนาการใช้ได้ทีเดียว
——————————
Appleseed Ex Machina ยังกำกับโดยผู้กำกับคนเดิม แต่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดกับ Appleseed ภาคก่อน ทั้งในด้านเนื้อเรื่องที่ภาคนี้เน้นเรื่องปมด้านจิตใจของมนุษย์น้อยกว่า เรื่องการควบคุมการสร้างความเคลื่อนไหวของมนุษย์ดูเป็นธรรมชาติขึ้นมาก ไม่ดูแข็งๆ เหมือนภาคก่อน แต่เรื่องของโทนสีผิวของร่างกายมนุษย์ยังดูด้อยกว่า จากที่ผมชื่นชมการออกแบบยานพาหนะใน Appleseed แต่ใน Ex Machina กลับเลือกออกแบบยานของ ES.W.A.T. ในคอนเซ็ปต์ของแมลงอย่างผึ้ง ดูแปลกตา แต่ผมชอบไอเดียที่จินตนาการล้ำๆ อย่างภาคแรกมากกว่า
แน่นอนว่า ทีมที่ทำนั้นคนละทีมกัน จินตนการก็ย่อมต่างกัน แต่สิ่งที่ทำได้ดีไม่แพ้กันก็คือ ฉากการต่อสู้ที่ทำได้สนุกและน่าตื่นตาตื่นใจไม่ต่างกัน ภาคล่าสุด กลับไปเน้นที่การร่วมมือกัน แม้จะเกิดมาแตกต่างกัน จะเป็นมนุษย์ หรือไบโอรอยด์ จะเป็น ?ดั้งเดิม? หรือ ?ก็อปปี้? ก็มีตัวตนและมีความสำคัญเท่าเทียมกัน
เมื่อวันใหม่มาถึงอีกครั้ง ทุกอย่างคลี่คลาย พร้อมๆ กับบทพูดสุดท้าย เหลือเพียงคำตอบของอะธีนา เรายังคงมีชีวิตอยู่ เราต้องสู้ต่อไป และเราจะต้องไม่หยุด ที่สำคัญ ต้องไม่สูญสิ้นความหวัง ดูเหมือนความหวังจะอยู่ในตอนจบของแอนิเมะหลายเรื่องเสียจริง แต่ผมยังไม่ลืมหรอกนะ บทพูดที่ใช้บ่อยในภาคนี้
?ฉันจะปกป้องเธอไปจนกว่า โลกจะล่มสลาย?
[endtext]
[starttext]
การกลับมาอีกครั้งในปี 2007 พร้อมได้ผู้อำนวยการสร้างจากฮ่องกงอย่าง จอห์น วู มาร่วมสร้างตำนานที่ต่อเนื่องมาถึงปี 2133 ภาคนี้ไม่ได้กล่าวถึงปมขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับไบโอรอยด์อีกแล้ว ปมเรื่องเปลี่ยนไปเน้นที่กลุ่มหน่วยรบสังหารของ ES.W.A.T. ที่ทำหน้าที่ปกป้องโอลิมปัสและทำลายผู้ก่อความวินาศ ซึ่งในภาคนี้กลับเป็นหุ่นไซบอร์กจากดาวโพไซดอน ที่ไม่ทราบแรงจูงใจในการก่อการร้ายแทน
เมื่อบริอาเรียส คู่หูที่เป็นไซบอร์กของดิวนันบาดเจ็บ เธอก็ได้ไบโอรอยด์อย่างเทอเรียส (Tereus) มาเป็นคู่หูคนใหม่โดยไม่ได้ตั้งใจ เขามีหน้าตาและนิสัยใกล้เคียงกับบริอาเรียสขณะยังมีร่างกายปกติ ซึ่งนั่นก็เพราะเทคโนโลยีในการผสมพันธุกรรมนั่นเอง แน่นอนว่า มันทำให้ดิวนันหวั่นไหวเอามากๆ จำใจต้องทำงานร่วมกับคู่หูคนใหม่ ขณะที่ฮิโตมิ ตัวละครเด่นในภาคที่แล้ว กลายเป็นเพียงตัวประกอบหนึ่งเท่านั้น เธอพาเราไปรู้จัก คอนเน็กซัส (Conexus) เทคโนโลยีการสื่อสารชนิดใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยม ซึ่งมันกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการก่อการร้ายครั้งนี้ด้วย
เกิดความสงสัยเกี่ยวกับหุ่นไซบอร์กที่ก่อการร้าย ซึ่งเป็นหุ่นที่มาจากโพไซดอน หากทางโพไซดอนปฏิเสธความเกี่ยวข้องดังกล่าว ภารกิจที่พวกเขาต้องผ่านมันไปให้ได้ ไม่ได้มีเพียง 2 คนเหมือนเดิมอีกแล้ว หากเป็นสามประสานที่มีปมทางด้านความรักเข้ามามีเอี่ยวด้วย
ดูเหมือนในภาคนี้ โอลิมปัสจะเป็นผู้นำสำคัญของโลก อะธีน่าขอความร่วมมือจากนานาชาติเข้ามาประชุมกัน เพื่อเชื่อมโยงระบบดาวเทียมระหว่างกัน และสร้างเครือข่ายการป้องกันการก่อการร้าย ขณะที่โอลิมปัสกำลังเผชิญอยู่กับผู้ก่อการร้าย ที่แทรกซึมด้วยสัญญาณที่ปล่อยมาจากข้างบน เทคโนโลยีดาวเทียมกลายเป็นอาวุธในการก่อการร้าย จินตนาการใช้ได้ทีเดียว
——————————
Appleseed Ex Machina ยังกำกับโดยผู้กำกับคนเดิม แต่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดกับ Appleseed ภาคก่อน ทั้งในด้านเนื้อเรื่องที่ภาคนี้เน้นเรื่องปมด้านจิตใจของมนุษย์น้อยกว่า เรื่องการควบคุมการสร้างความเคลื่อนไหวของมนุษย์ดูเป็นธรรมชาติขึ้นมาก ไม่ดูแข็งๆ เหมือนภาคก่อน แต่เรื่องของโทนสีผิวของร่างกายมนุษย์ยังดูด้อยกว่า จากที่ผมชื่นชมการออกแบบยานพาหนะใน Appleseed แต่ใน Ex Machina กลับเลือกออกแบบยานของ ES.W.A.T. ในคอนเซ็ปต์ของแมลงอย่างผึ้ง ดูแปลกตา แต่ผมชอบไอเดียที่จินตนาการล้ำๆ อย่างภาคแรกมากกว่า
แน่นอนว่า ทีมที่ทำนั้นคนละทีมกัน จินตนการก็ย่อมต่างกัน แต่สิ่งที่ทำได้ดีไม่แพ้กันก็คือ ฉากการต่อสู้ที่ทำได้สนุกและน่าตื่นตาตื่นใจไม่ต่างกัน ภาคล่าสุด กลับไปเน้นที่การร่วมมือกัน แม้จะเกิดมาแตกต่างกัน จะเป็นมนุษย์ หรือไบโอรอยด์ จะเป็น ?ดั้งเดิม? หรือ ?ก็อปปี้? ก็มีตัวตนและมีความสำคัญเท่าเทียมกัน
เมื่อวันใหม่มาถึงอีกครั้ง ทุกอย่างคลี่คลาย พร้อมๆ กับบทพูดสุดท้าย เหลือเพียงคำตอบของอะธีนา เรายังคงมีชีวิตอยู่ เราต้องสู้ต่อไป และเราจะต้องไม่หยุด ที่สำคัญ ต้องไม่สูญสิ้นความหวัง ดูเหมือนความหวังจะอยู่ในตอนจบของแอนิเมะหลายเรื่องเสียจริง แต่ผมยังไม่ลืมหรอกนะ บทพูดที่ใช้บ่อยในภาคนี้
?ฉันจะปกป้องเธอไปจนกว่า โลกจะล่มสลาย?
[endtext]
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น